ความรู้โภชนาการรักษามะเร็ง เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง  
 

พบกับโฉมใหม่ของข้อมูลสุขภาพที่จะนำท่านเข้าสู่การบำบัดโรคด้วยตนเอง ตามแผนโภชนาการของเรา ที่ www.zegrain.co.th

โรคมะเร็ง ทุกระยะ โรคเบาหวาน เรื้อรัง โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคไขมันสูง โรคความดันสูง น้ำหนักตัวเกิน(โรคอ้วน) โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหรือทางเดินหายใจ โรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย โรคตับชนิดต่างๆ โรคไต โรคไทรอยด์ ฯลฯ รวมทั้งโรคแห่งความเสื่อมอีกหลาย 10 โรค

go to zegrain.co.th

 
 
 
 
ชื่อคำถาม : วิธีแก้โรคเครียดถาวร
ผู้ตั้งคำถาม : คุณ บี โพสต์เมื่อ 10/8/2009 : 10:27:25 AM
เรียนถามอาจารย์เรื่องวิธีการนำการนั่งสมาธิมาฝึกฝนเพื่อแก้โรคเครียดที่ทางอาจารย์เคยเขียนแต่ข้อสรุปนั้น เป็นไปได้มั้ยว่าขอให้ทางอาจารย์นำเสนอเป็นขั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จากไม่รู้เลยไปจนถึงขั้นสูง อาจนำเสนอการสอนเป็นการบรรยายสุขภาพโดยการฟังด้วย+เขียนเป็นซีรี่ส์ในช่องสารพัดวิธีดูแลสุขภาพเพื่อเป็นหลักการแนะนำที่ถาวรและยั่งยืน และมีการ UPDATE เรื่อย ๆ ถ้ามีข้อมูลเพิ่ม เข้าใจว่าทุกคมต้องมีความเครียดไม่มากก็น้อยทุกคน ได้อาหารเสริมที่ดี+วิตามิน+วิมุติเทวา ทางร่างกายแล้ว ถ้าได้อาหารทางใจด้วยคิดว่าจะครบถ้วนสมบูรณ์ของชีวิตครับ สงสัยตรงใหนสามารถเข้ามาอ่านได้ตลอดเวลาครับ
เรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
นับถืออย่างสูง


 
 
 
 
 
ผู้ตอบคำถาม : ณัฐวัฒน์ โพสต์เมื่อ 10/8/2009 : 7:32:46 PM
ขอขอบพระคุณที่เสนอแนวทางที่สดใสในการเปิดช่องทางการเรียนรู้เรื่องสมาธิอย่างเป็นธรมชาติ ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้เกี่ยวกับการเผยแพร่แนะนำการทำสมาธิจากประสบการณ์ที่ผมได้ด้วยตนเอง ถึงแม้จะไม่นับว่าบรรลุธรรมอะไรก็ตาม แต่ผมได้ความสุขและได้ปัญญาทีละเล็กละน้อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ผมรู้ความหมายของชีวิตมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลย

จริงๆการทำสมาธิตามแนวทางของผมนั้นไม่มีขั้นอะไรมากเพราะไม่ได้ตั้งใจให้ทำกันแบบที่พระอาจารย์ท่านสอนตามพระไตรปิฎก เช่นการทำอานาปานสติจนบรรลุธรรมชั้นสูงเป็นอริยบุคคลมีอยู่ 16 ขั้น เป็นต้น ผมว่ามันยาก..ม๊าก..มาก

ผมจับประเด็นการสร้างเสริมปัญญาด้วยสมาธิแบบรู้จักและกำหนดคำว่า "สติ" เท่านั้นเอง แล้วก็ตามรู้ทุกอย่างด้วยสติไปเรื่อยๆ ว่อกแว่กนักก็กำหนดให้สติกลับมาใหม่โดยอย่าไปเกร็งอย่าไปเครียดกับการปฏิบัติ ผมก็คงแยกได้แค่ 2 ช่วงง่ายๆ ดังนี้นะครับ

ช่วงที่ 1
ช่วงแห่งการรู้จักตนเอง ด้วยการยังไม่เริ่มปฏิบัติแต่ให้อยู่ในที่สงบสบายแล้วนึกย้อนถึงตัวเราเอง (คนอื่นไม่เกี่ยว) ว่าที่ผ่านมาชีวิตเราผ่านอะไร ดีหรือเลวมาอย่างไรบ้าง เรามีดีอะไร เรามีชั่วอะไร แคะออกมาให้หมดชนิดที่เรียกว่าทบทวนตนเองใหม่ เมื่อรู้ตนได้ทั่วดีแล้วก็ให้ยอมรับความดีและความชั่วของเราที่ทำมา อย่าแก้ตัว อย่าคิดโทษคนอื่น ดีชั่วมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น พอคุณบีใคร่ครวญจนได้ที่ดีแล้วคุณจะรู้สึกโล่งๆในจิตขึ้นมาได้ระดับหนึ่งก็ถือว่า OK
เสร็จแล้วขั้นต่อไปก็ให้ตั้งจิตและสัญญากับตนเองว่าจากนี้ไปข้าพเจ้าจะทำแต่กรรมดีเท่านั้นเพื่อคนอื่น เสียสละและมีเมตตากับคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และที่สำคัญจะเลิกโทษคนอื่นเด็ดขาด จะมีแต่ให้อภัย รักและเมตตาคนอื่น สำหรับตนเองจะมุ่งหาข้อผิดพลาดและแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าจะทำ เมื่อตั้งใจตั้งเจตนาเข้มข้นดีแล้วคุณบีจะมีอีกความรู้สึกเกิดขึ้น นั่นคือความรู้สึกรักตนเองขึ้นมา (ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ) กำลังใจจะเกิดและรู้สึกว่าตนเองนี้น่ายกย่องและไหว้ตนเองได้สนิทใจ ให้ทำให้ได้ถึงขนาดนี้ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ให้มีความรู้สึกและบรรยากาศอย่างนี้ในจิตใจของคุณบีเสมอๆ แล้วค่อยเริ่มฝึกสติจริงๆต่อไป เป็นอันจบช่วงที่ 1

ช่วงที่ 2
ฝึกสติ ก็ง่ายนิดเดียว คุณบีไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ให้มีสติระลึกรู้ว่าทำอะไรอยู่ เห็นอะไร ได้ยินอะไร สัมผัสอะไร ใจลอยไปไหน แค่ให้ตามรู้ในสิ่งที่ทำเท่านั้นอย่าไปคิดเพื่อจะจัดแจงอะไรทั้งสิ้นในขณะที่งานเราก็ทำไปแล้วก็มีเจตนาดีมีเมตตากับทุกๆคนไปเรื่อยๆ ก็เท่านั้นเองจบ ถ้าช่วงที่ 1 ทำมาได้ดีมากเท่าไหร่ "สติ" จะเกิดง่ายรู้ทันได้ตลอดเวลาแทบไม่หลุดเลยสนุกมากจริงๆ ใครไม่ทำไม่มีวันรู้แน่นอน นี่คือความรู้ที่เกิดขึ้นเฉพาะตนจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าสอน

ถ้าทำไปเรื่อยๆอย่างถูกต้อง จิตจะเริ่มชิน คุณบีจะเริ่มรู้สภาวะทุกอย่างตามความเป็นจริง งานที่เคยทำยากมันจะรู้สึกว่าง่ายอย่างไม่มีเหตุผล เคยพูดกันไม่รู้เรื่องคราวนี้รู้เรื่องดีกว่าเดิมทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น เคยหาที่จอดรถยากจังแต่คราวนี้จอดง่ายกว่าเดิมบ่อยขึ้นๆจนรู้สึกแปลกใจ ชีวิตเริ่มมีทางออกดูทุกอย่างเริ่มง่ายขึ้นๆ นั่นแหละความสุขจากภายในมันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ผมบอกแค่นี้พอ ที่เหลือคุณบีต้องทำเองแล้วจะรู้เองว่า "สำเร็จ" มันคืออะไรครับ....ขอขอบคุณ